ทนายความจังหวัดสมุทปราการ พระประแดง

ทนายความจังหวัดสมุทปราการ พระประแดง

เปิดหน้าต่อไป

รู้จักจังหวัดสมุทรปราการ

ตราประจำจังหวัดสมุทรปราการ

ตราประจำจังหวัดสมุทรปราการ

คำขวัญประจำจังหวัดสมุทรปราการ

ป้อมยุทธนาวี พระเจดีย์กลางน้ำ ฟาร์มจระเข้ใหญ่ งามวิไลเมืองโบราณ สงกรานต์พระประแดง ปลาสลิดแห้งรสดี  

สมุทรปราการ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย และยังเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร จัดตั้งขึ้นครั้งล่าสุดโดย พระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนายก พุทธศักราช 2489 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489

ในด้านเศรษฐกิจ จังหวัดสมุทรปราการมีการทำนา, ประมง และอุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำ, วัดอโศการาม, วัดบางพลีใหญ่, วัดไพชยนต์พลเสพราชวรวิหาร, วัดโปรดเกศเชษฐาราม, ศาลพระเสื้อเมือง, พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ, เมืองโบราณ, สถานตากอากาศบางปู, ป้อมพระจุลจอมเกล้า, สวางคนิวาส, ป้อมแผลงไฟฟ้า, ฟาร์มจระเข้ ฯลฯ

ประวัติ

สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา

เมื่อประมาณ 2000-3000 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ของอ่าวไทยกินลึกมาถึงจังหวัดราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี สระบุรี นครนายก และชลบุรี ส่วนพื้นที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำใหม่นั้นเป็นพื้นที่จังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพ และสมุทรปราการ เกิดขึ้นจากตะกอนที่แม่น้ำหลายสายพัดพามาที่ปากอ่าวไทยแล้วทับถมกันนานนับพันปีจนกลายเป็นแผ่นดิน

ยังไม่ปรากฏชื่อเมืองสมุทรปราการในประวัติศาสตร์ จะมีแต่เมืองพระประแดง ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งที่ขอมสร้างขึ้น เป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของขอมซึ่งตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา มีหน้าที่ต้องแจ้งข่าวสารไปให้ราชธานีที่ขอมตั้งไว้ที่ลพบุรี (ละโว้)สันนิษฐานว่าเมืองพระประแดงจะยังคงเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้มาจนตลอดสมัยสุโขทัย


สมัยกรุงศรีอยุธยา

เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ได้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เมืองพระประแดงมีสถานะเป็นเมืองประเทศราช ทางทิศใต้ของราชธานี เป็นเมืองป้อมปราการด่านชั้นใน เมืองพระประแดงเดิมนั้นในปัจจุบันอยู่ในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

นับแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองทั่วอาณาจักร เมืองสมุทรปราการจัดอยู่ในกลุ่มหัวเมืองชั้นที่สี่หรือ เมืองน้อย ที่มีขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นผู้ปกครองเมือง ดังปรากฏใน พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองในกฎหมายตราสามดวงว่า ขุนนาง ที่ปกครองเมืองสมุทรปราการหรือปากน้ำคือ "พระสมุทประการ"

พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ระบุว่า เมื่อ พ.ศ. 2041 ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ได้มีการขุดลอกคลองสำโรงเนื่องจากคลองตื้นเขิน เรือใหญ่เดินทางไปมาผ่านคลองสำโรงไม่สะดวก และมีการขุดพบรูปเทพารักษ์ 2 องค์ได้แก่ พระยาแสนตาและพระยาบาทสังขกร ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคนอาศัยอยู่บริเวณคลองสำโรงมานานแล้ว และเป็นไปได้ว่าชุมชนบริเวณคลองสำโรงจะเป็นชุมชนแรกของบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ชุมชนนี้เรียกว่า บางเจ้าพระยา

ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนกลางได้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์ในพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำ โดยแม่น้ำได้พัดพาตะกอนมาทับถมเพิ่มขึ้นเรือย ๆ ทำให้เมืองพระประแดง (เก่า) ที่อยู่ตรงเขตพระโขนง อยู่ห่างจากปากแม่น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมพระองค์ทรงโปรดให้สร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นให้เป็นหัวเมืองหน้าด่านทางใต้ ณ บริเวณฝั่งใต้ของคลองบางปลากด ฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา มีพ่อค้าชาวฮอลันดามาตั้งห้างพักสินค้าอยู่ ณ ที่นั้น เรียกว่า นิวอัมสเตอร์ดัม และเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงแต่งสมณทูตไปลังกากล่าวว่าออกเรือจากเมืองธนบุรีไปถึงตึกฮอลันดาที่ตำบลบางปลากดแสดงว่าที่นั่นคงมีผู้คนอาศัยอยู่มากอาจเป็นตัวเมืองสมุทรปราการในครั้งนั้นก็ได้ส่วนเมืองพระประแดงก็หมดความสำคัญลง และถูกยุบในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

มีเหตุการณ์บันทึกว่า เมื่อ พ.ศ. 2173 พวกญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรเกิดขัดใจกับไทยถึงขั้นต่อสู้กันบริเวณปากน้ำ ญี่ปุ่นหนีไปได้ และไปอาศัยอยู่ที่เมืองเขมร ชื่อเมืองสมุทรปราการในกฎหมายซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2178

อีกเหตุการณ์ เมื่อ พ.ศ. 2207 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงดำเนินกิจการค้าอย่างกว้างขวางให้คนจีนมาประจำหน้าที่ในเรือสินค้าหลวง จนทำให้ผู้ค้าของฮอลันดาไม่พอใจ หาว่าไทยทำการค้าผูกขาด ฮอลันดาจึงเลิกกิจการค้าจากกรุงศรีอยุธยา แล้วเอาเรือรบมาปิดอ่าวไทย ทั้งยังจับเรือสินค้าหลวงของไทยไปริบบ้าง ทำลายบ้าง ทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงดำเนินวิเทโศบายผูกมิตรกับฝรั่งเศส และเมื่อ พ.ศ. 2231 ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ไทยเกิดต่อสู้กับฝรั่งเศสที่เข้ามารักษาป้อมวิชัยประสิทธิ์ (อยู่ที่เมืองธนบุรี) ไทยได้ตั้งค่ายรายปืนที่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา เมืองสมุทรปราการ และจับเรือที่ฝรั่งเศสคุมมาได้สองลำ

สมัยกรุงธนบุรี
ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 ปรากฏหลักฐานว่า พม่าได้มาปล้นบ้านเรือนราษฎรที่ตำบลบางเมืองในเขตเมืองสมุทรปราการ วัดและบ้านเมืองกลายเป็นเมืองร้างอยู่พักหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้บ้านเมืองเอาไว้ได้ ผู้คนในเมืองสมุทรปราการที่อพยพหนีภัยสงคราม จึงได้กลับมาตั้งถิ่นฐานเดิม พระองค์ทรงรื้อกำแพงเมืองพระประแดงเดิมที่ตั้งอยู่เขตราษฎร์บูรณะในปัจจุบัน ไปก่อกำแพงพระราชวังธนบุรีและที่อื่น ๆ


สมัยรัตนโกสินทร์ 
พระสมุทรเจดีย์วิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 เรือรบฝรั่งเศสภายใต้การระดมยิงจากป้อมปืนของสยาม ที่ปากแม่น้ำ

ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสร้าง เมืองพระประแดงขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน สำหรับป้องกันศัตรูซึ่งมาทางทะเลแต่พระองค์ทรงสร้างเพียงป้อมขึ้นไว้ทางฝั่งตะวันออก 1 ป้อม เรียกว่า ป้อมวิทยาคม

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองสมุทรปราการบัดนี้ที่ตำบลบางเมืองเมื่อ พ.ศ. 2362 พร้อมกับสร้างป้อมป้องกันเรือของข้าศึกต่อจากรัชกาลที่ 1 ป้อมฝั่งตะวันตกหรือฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ป้อมแผลงไฟฟ้า ป้อมมหาสังหาร ป้อมศัตรูพินาศ ป้อมจักร์กรด และป้อมพระจันทร์ พระอาทิตย์ ป้อมทางฝั่งตะวันออกหรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย ป้อมปีศาจสิง ป้อมราหูจร และป้อมวิทยาคม และใน พ.ศ. 2366 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสมุทรเจดีย์บนเกาะกลางน้ำด้วย อนึ่ง สมุทรปราการ เรียกกันเป็นสามัญว่า "ปากน้ำ" เพราะตัวเมืองตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งซ้าย ห่างจากปากแม่น้ำเข้ามาราว 6 กิโลเมตร

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงขนานนามเมืองพระประแดงว่า เมืองนครเขื่อนขันธ์ การสร้างเมืองเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ เดือน 7 แรม 11 ค่ำ พ.ศ. 2358 แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายครัวมอญ เมืองปทุมธานี ให้มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองนี้ และทรงแต่งตั้งสมิงทอมา บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) ซึ่งเป็นพระยาราม น้องเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ คชเสนี) เป็นพระยานครเขื่อนขันธ์รามัญราชชาติเสนาบดีศรีสิทธิสงคราม เป็นผู้รักษาเมือง

พ.ศ. 2362 มีการจัดการสร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นใหม่ โดยทรงกำหนดเขตให้ตรงบริเวณพื้นที่ที่ชาวบ้าน เรียกว่า บางเจ้าพระยา (เป็นเทศบาลเมืองสมุทรปราการ กับตำบลบางเมืองในปัจจุบัน) อยู่ระหว่างปากคลองปากน้ำคลองมหาวงศ์ มีป้อมปราการเป็นเมืองหน้าศึก 6 ป้อมปราการ คือ ป้อมประโคนชัย อยู่ที่ปากคลองปากน้ำ ป้อมนารายณ์ปราบศึก อยู่ในตำบลบางเมือง ป้อมปราการ อยู่ในตำบลบางเมือง ป้อมกายสิทธิ์ ในตำบลบางเมือง ทางฝั่งขวาของแม่เจ้าพระยา (ตะวันตก) มีป้อมนาคราช และสร้างป้อมขึ้นบนเกาะนั้น เรียกว่า ป้อมผีเสื้อสมุทร และในครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองปากลัด ในเมืองนครเขื่อนขันธ์ขึ้นมาด้วย ในการสร้างเมืองสมุทรปราการใหม่นี้ ได้สร้างเสร็จเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 2365 โดยทำพิธียกเสาหลักเมืองขึ้น ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง"

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปราบกบฏเวียงจันทน์เสร็จแล้วจะทำสงครามกับญวน พระองค์จึงโปรดให้สร้างป้อมเพิ่มเติมที่เมืองสมุทรปราการ เมื่อปีชวด พ.ศ. 2371 ชื่อป้อมปีกกาต่อจากป้อมประโคมชัยของเดิม, ป้อมตรีเพ็ชร์ สร้างที่บางจะเกรง (บางนาเกรงในปัจจุบัน) เหนือเมืองขึ้นไป พ.ศ. 2377 สร้างป้อมที่บางปลากด ทางฝั่งตะวันตกข้างเหนือเมืองสมุทรปราการ ชื่อป้อมคงกระพัน ในปีมะเส็ง พ.ศ. 2388 สร้างป้อมเพิ่มเติมที่เมืองสมุทรปราการ คือ ทำป้อมปีกกาต่อป้อมนาคราช เรียกว่า ป้อมปีกกาพับสมุทร ถึงปีวอก พ.ศ. 2391 สร้างป้อมใหญ่ขึ้นที่ตำบลมหาวงษ์ ทางฝั่งตะวันออกอีกหนึ่งป้อม เป็นป้อมที่ตั้งของแม่ทัพ ชื่อป้อมเสือซ่อนเล็บ

สังฆราชปาเลอกัวบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่พำนักอยู่ในสยามช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงต้นสมัยรัชกาลที่ 4 ระบุว่า ในเมืองสมุทรปราการ (หรือเมืองปากลัดหรือเมืองปากน้ำ) มีราษฎรอาศัยอยู่ประมาณ 6,000–7,000 คน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นเป็นที่ประทับบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อเป็นเกียรติแก่พระสมุทรเจดีย์ที่ทรงบูรณะและเสริมให้แลเห็นเด่นชัด สิ่งก่อสร้างที่เหลือมาในสมัยหลัง คือ พระที่นั่งสมุทาภิมุข อยู่ใกล้สถานีรถรางสายปากน้ำ และพระที่นั่งสุขไสยาศน์ ซึ่งเคยใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข แต่ปัจจุบันได้รื้อถอนหมดสิ้นแล้ว

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มสร้างป้อมเพิ่มที่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทหารเรือเป็นผู้อำนวยการสร้างและดูแลตั้งแต่ พ.ศ. 2427 เป็นต้นมา แล้วเสร็จราวกลางปี พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) พระราชทานนามว่า ป้อมพระจุลจอมเกล้า เมื่อเปิดเพียงสองเดือนเศษ เกิดเหตุการณ์รบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 เป็นเหตุให้ไทยเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 7 (เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส) ต่อมาเมืองสมุทรปราการและเมืองนครเขื่อนขันธ์ ได้รวมเข้าอยู่ในมณฑลกรุงเทพ ขึ้นต่อกระทรวงนครบาลแทน ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ. 114

ภูมิศาสตร์ ที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อ

จังหวัดสมุทรปราการเป็นเขตปริมณฑล จังหวัดสมุทรปราการมีเนื้อที่ 1,004 ตารางกิโลเมตร และมีอาณาเขตจรดอำเภอและจังหวัดข้างเคียงเรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้

ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตบางนา เขตประเวศ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร (ฝั่งพระนคร) อำเภอเมืองฉะเชิงเทราและอำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
ทิศใต้ ติดต่อกับอ่าวไทย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตบางขุนเทียน เขตทุ่งครุ เขตราษฎร์บูรณะ (ฝั่งธนบุรี) เขตยานนาวา เขตคลองเตย และเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร (ฝั่งพระนคร)

ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มทั้งหมด มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านทางซีกตะวันตกของจังหวัด จากทิศเหนือไปทิศใต้ลงสู่อ่าวไทย แม่น้าเจ้าพระยาไหลผ่านอ้าเภอพระประแดง อ้าเภอพระสมุทรเจดีย์และอำเภอเมืองสมุทรปราการ ระยะทางรวมประมาณ 30 กิโลเมตร คลองธรรมชาติมีจ้านวน 542 คลอง ความยาวคลองรวมทั้งสิ้น 1,553 กิโลเมตร ประกอบด้วย คลองธรรมชาติฝั่งตะวันออก จ้านวน 335 คลอง ความยาวรวม 1,168 กิโลเมตร และคลองธรรมชาติฝั่งตะวันตกของแม่น้าเจ้าพระยา จ้านวน 200 คลอง ความยาวรวม 385 กิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาว 47.5 กิโลเมตร

เดิมชายฝั่งทะเลมีป่าชายเลนกว้างขวาง เนื่องจากมีตะกอนที่แม่น้ำเจ้าพระยา นำพามาทับถมกันที่บริเวณปากน้ำแต่ปัจจุบันมีการบุกรุกป่าชายเลน ทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นบริเวณกว้าง

เขตการปกครอง

จังหวัดสมุทรปราการแบ่งการปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น 6 อำเภอ 50 ตำบล 405 หมู่บ้าน อำเภอในจังหวัดสมุทรปราการประกอบไปด้วย

  1. อำเภอเมืองสมุทรปราการ
    ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ ถนนสุทธิภิรมย์ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 10270
    โทรศัพท์: 0 2395 0265
    โทรสาร: 0 2395 0265
    อีเมล:
    สายตรงศูนย์ดำรงธรรม 1567  

  2. อำเภอบางบ่อ
    ที่ว่าการอำเภอบางบ่อ หมู่ที่ 1 ถนนรัตนราช ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 10560
    โทรศัพท์: 0-2708-3580
    โทรสาร: 0-2708-3580
    อีเมล:
    สายตรงศูนย์ดำรงธรรม 1567  

  3. อำเภอบางพลี
    ที่ว่าการอำเภอบางพลี เลขที่ 15 หมู่ที่ 8 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 10540
    โทรศัพท์: 0-2337-3489
    โทรสาร: 0-2337-3489
    อีเมล:
    สายตรงศูนย์ดำรงธรรม 1567  

  4. อำเภอพระประแดง
    ที่ว่าการอำเภอพระประแดง เลขที่ 67 ถนนนครเขื่อนขันธ์ ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 10130
    โทรศัพท์: 0-2464-3450
    โทรสาร: 0-2463-3359
    อีเมล:
    สายตรงศูนย์ดำรงธรรม 1567  

  5. อำเภอพระสมุทรเจดีย์
    ที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์  104 หมู่ที่ 5 ถนนสุขสวัสดิ์-นาเกลือ ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ 10290
    โทรศัพท์: 02-453-7149
    โทรสาร: 02-453-7149 กด 1
    อีเมล:
    สายตรงศูนย์ดำรงธรรม 1567  

  6. อำเภอบางเสาธง
    ที่ว่าการอำเภอบางเสาธง เลขที่ 100 หมู่ที่ 7 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ 10570
    โทรศัพท์: 0-2707-1285
    โทรสาร: 0-2707-1285
    อีเมล:
    สายตรงศูนย์ดำรงธรรม 1567  
X